นายนที พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด เปิดเผย ฐานเศรษฐกิจ ว่า ในปี 2551 นี้บริษัทฯมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนขยายธุรกิจและให้บริการด้านประกันภัยในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว พม่า และกัมพูชา โดยเฉพาะการขยายตลาด Non-Motor ในลักษณะการรับประกันความเสี่ยงภัย เจาะกลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ รวมทั้งการประกันภัยส่วนบุคคลหรือรายย่อย โดยจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสทำกำไรได้ดี
ภายในไตรมาสแรกนี้จะหาข้อสรุปถึงความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุนในประเทศลาว
เพื่อเป็นโครงการนำร่องขยายธุรกิจในปีนี้ ซึ่งจะพิจารณาถึงโอกาสทางธุรกิจที่อยู่บนพื้นฐานของต้นทุนที่ไม่สูงมาก โดยที่รูปแบบการเข้าไปลงทุนนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมระหว่างการร่วมทุนกับรัฐบาลลาว หรือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับประกันภัยท้องถิ่น หรือการเข้าไปลงทุนตั้งสำนักงานสาขาเองด้วยวิธีการเช่า ซึ่งมูลค่าการลงทุนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอยู่ระหว่างการประเมินต้นทุน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีธุรกิจประกันภัยในไทยเข้าไปลงทุน
ที่ผ่านมาตลาดประกันภัยในไทยแข่งขันกันสูงขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนต่างประเทศภายใต้ระบบการแข่งขันเสรี ด้วยการนำความแข็งแกร่งของไทยที่มีการพัฒนาเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งการขอใบอนุญาตทำธุรกิจยังมีอัตราใกล้เคียงกัน ถือเป็นจุดแข็งทำให้ต้นทุนยังไม่สูงมาก ซึ่งรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมาเข้ามาบริหารประเทศ น่าจะพิจารณาผลักดันในเรื่องของกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจประกันภัยให้มากขึ้น เช่น การประกันภัยต่อ การขอใบอนุญาตให้บริการประกันภัยในต่างประเทศ การส่งเงินข้ามแดนที่เกี่ยวกับกรณีการทำประกันภัย เป็นต้น นายนทีกล่าว
ในส่วนของแผนธุรกิจในประเทศไทยสำหรับปีนี้ บริษัทฯมีนโยบายจับมือกันพันธมิตรเข้าร่วมประมูลการรับประกันภัยในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาระบบการขนส่งของประเทศ เช่น ระบบรางคู่ รถไฟฟ้า ฯลฯ โดยขณะนี้ได้ร่วมกับพันธมิตรในการเข้าประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ในรูปแบบการประกันภัยต่อ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีโอกาสได้รับการประมูล ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นซองและพิจารณาของคณะกรรมการ จากปีที่ผ่านมาบริษัทรับประกันในโครงการก่อสร้างทั่วไป ในโครงการสร้างสะพานขนาดใหญ่ และการรับประกันโรงงานขนาดใหญ่ ที่เป็นธุรกิจต่างชาติ เช่น กลุ่มเนสท์เล่ และโรงกลั่น
สำหรับกลยุทธ์ทางด้านการรับประกันภัยปีนี้ นายนที กล่าวว่า บริษัทจะพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมาย เช่น ในด้านนของ Non-Motor ได้แก่ การรับประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัย ในรูปแบบห้องชุด เจาะตลาดรายย่อย กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทย คิดอัตราเบี้ยประกันตามความเสี่ยงภัย หรือการประกันภัยความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ (Pro-duct Liability) และการประกันชดเชยรายได้ สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มขึ้ ส่วนด้าน Motor เปิดตลาดกลุ่มใหม่ที่มีอัตราการเสี่ยงภัยต่ำ เช่น ล่าสุดออกกรมธรรม์ใหม่ TSRI TPL EXTRA PLUS ประเภทประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 พิเศษ เบี้ยประกันภัย 6,800 บาท จับกลุ่มรถขับดี หรือกรรมธรรม์ในกลุ่มประกันภัยรถโบราณหรือคลาสสิคคาร์ เพื่อควบคุมอัตราการสูญเสียของบริษัทอยู่ที่ 50-60%
นอกจากนี้ บริษัทฯจะขยายช่องทางการทำตลาดใหม่ ผ่านการทำเทเลมาร์เก็ตติ้งในกลุ่มตลาดผู้ถือบัตรเครดิตและซื้อมือถือใหม่ ผ่านตัวแทนและนายหน้าประกันภัยประมาณ 600-700 ราย นอกเหนือจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่ประสบความสำเร็จในปีที่แล้ว โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าเบี้ยรับประกันภัยรวมเติบโตขึ้น 8% จากปีที่แล้วมีเบี้ยอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท เป็นเบี้ยที่มาจากNon- Motor เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิม 25% และอีก 60% เป็นกลุ่มMotor โดยจะยังคงรักษาอันดับในธุรกิจประกันภัยไว้ที่อันดับที่ 18 หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1.6%
ทางด้านการลงทุนปีนี้ นายนที กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น 20% จาก 5% ในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม FIF (Foreign Investment Fund) และลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศระยะยาว อาทิ รัสเซียและบราซิล เนื่องจากการลงทุนในต่างประเทศขณะนี้ให้ผลตอบแทนมากกว่าอยู่ที่ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับในประเทศอยู่ที่ 7% ของเงินลงทุน